วันพุธที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

การเรียกใช้งานโปรแกรม Adobe Dreamweaveer CS5 

การเรียกใช้งานโปรแกรม Adobe Dreamweaveer CS5 ขึ้นมาใช้งานทำได้ดังนี้
วิธีที่ 1 เรียกผ่าน Start โดยการคลิกที่ปุ่ม Start >>All Program >>Adobe Design Premium CS5>> Adobe Dreamweaver CS5
Dreamweaver-CS5-2
วิธีที่ 2 เรียกผ่านไอคอนบนเดสก์ทอปโดยการดับเบิ้ลคลิกที่ไอคอน
วิธีที่ 3 เรียกผ่านช่องค้นหา search program and file พิมพ์คำว่า ” Dreamweaveer CS5 “ ลงในช่อง แล้วกดปุ้ม Enter
Dreamweaver-CS5-13
เมื่อคลิกเลือกเปิดโปรแกรมขึ้นมาแล้วจะปรากฏ Welcome Screen ดังรูป
Dreamweaver-CS5-3
Welcome Screen เป็นหน้าต่างสำหรับเลือกขั้นตอนการเริ่มใช้งานโปรแกรม ซึ่งจะมีตัวเลือกออกเป็นกลุ่มๆ คือ
A : Open a Recent Item เป็นการเปิดไฟล์งานที่เคยใช้งานแล้ว โดยจะมีรายชื่อไฟล์งานแสดงอยู่เรียงลำดับจากที่เปิดใช้งานล่าสุดเป็นต้นไป หรือจะเลือกไฟล์อื่นที่ Open ก็ได้
B : Create New เป็นการสร้างไฟล์งานใหม่ โดยปกติแล้วในส่วนนี้จะเลือกที่ HTML ซึ่งเป็นการสร้างเว็บเพจพื้นฐาน แต่ถ้าเลือกหัวข้ออื่น หน้าเว็บเพจนั้นก็จะเป็นไฟล์ตามชนิดที่เลือกใช้งาน เช่น ไฟล์งาน PHP, ASP และ JavaScript เป็นต้น
C : Top Features (videos) เป็นส่วนที่ใช้สำหรับเข้าไปดูรายละเอียดและเทคนิคต่างๆ ของการใช้งานโปรแกรมผ่านทางเว็บไซต์ของ Adobe
D : เป็นส่วนของการเปิดดูคำแนะนำในการใช้งานโปรแกรม
E : เป็นส่วนสำหรับดาวน์โหลดโปรแกรมหรือดูข้อมูลบนเว็บไซต์ของ Adobe
มุมมองการทำงาน
เมื่อเปิดเรียกใช้งานโปรแกรมขึ้นมาแล้วจะพบหน้าต่างการใช้งานดังรูป (ในที่จะเลือกเป็นแบบ Create new แล้วเลือกเป็นไฟล์ HTML) จะได้หน้าต่างเอกสาร(Document)
Dreamweaver-CS5-4
หน้าต่างเอกสาร(Document window) คือ ส่วนที่ใช้สำหรับใส่เนื้อหาพร้อมทั้งการจัดองค์ประกอบหน้าเว็บเพจ โดยการใช้งานนั้นจะมีการทำงานเช่นเดียวกับโปรแกรมเวิร์ดโปรเซสเซอร์ทั่วไป คือ พิมพ์ข้อความ แทรกรูปภาพ สร้างตาราง เมื่อออกแบบและตกแต่งแล้วผลลัพธ์ที่แสดงออกมาบนบราวเซอร์ก็จะปรากฏเช่นนั้นด้วย
มุมมองการทำงานของหน้าต่างเอกสารมีอยู่ 6 มุมมอง ดังรูป ซึ่งสามารถคลิกสลับการทำงานได้ตามต้องการ
Dreamweaver-CS5-5
– มุมมองโค้ด (Code view) เป็นการแสดงมุมมองของเว็บเพจในรูปแบบของชุดคำสั่งภาษา HTML ทั้งเอกสาร ซึ่งถูกสร้างจากโปรแกรม Dreamweaver อัตโนมัติ เหมาะสำหรับเขียนโค้ดคำสั่งเพิ่มเติม อาจจะเป็นคำสั่ง JavaScript หรือ CSS ก็ได้
Dreamweaver-CS5-6
– มุมมองโค้ดและออกแบบ (Code and Design หรือ Split) เป็นการแสดงมุมมองของเว็บเพจทั้งโค้ด HTML และงานออกแบบบนหน้าเอกสาร โดยมีการแบ่งออกเป็น 2 ส่วนในหน้าเดียวกัน
Dreamweaver-CS5-7
– มุมมองออกแบบ (Design view) เป็นการแสดงมุมมองของเว็บเพจในลักษณะของการออกแบบซึ่งจะปรากฏผลลัพธ์ทางบราวเซอร์ในลักษณะเดียวกัน
Dreamweaver-CS5-8
– มุมมองแสดงผลโค้นหน้าเว็บ (Live Code) มุมมองนี้จะแสดงผลร่วมกับมุมมอง Live View โดยจะแสดงมุมมอง Live Code ได้ก็ต่อเมื่ออยู่ในมุมมอง Livwe View เท่านั้น ซึ่งจะใช้ตรวจสอบดูโค้ดในตำแหน่งต่างๆ ไม่สามารถที่จะแก้ไขโค้ดในมุมมองนี้ได้
Dreamweaver-CS5-9
- มุมมองแสดงผลโค้นหน้าเว็บ (Live Code) มุมมองนี้จะแสดงผลร่วมกับมุมมอง Live View โดยจะแสดงมุมมอง Live Code ได้ก็ต่อเมื่ออยู่ในมุมมอง Livwe View เท่านั้น ซึ่งจะใช้ตรวจสอบดูโค้ดในตำแหน่งต่างๆ ไม่สามารถที่จะแก้ไขโค้ดในมุมมองนี้ได้
- มุมมองแสดงหน้าเว็บเหมือนดูจากบราวเซอร์ (Live View) มุมมองนี้จะแสดงเว็บเพจเหมือนกับหน้าที่แสดงผลในบราวเซอร์ สามารถแสดงผลจากคำสั่ง JavaScript และ Plug-in ต่างๆ ที่นำมาใช้งาน
- มุมมองแสดงผลหน้าเว็บที่จัดรูปแบบด้วย CSS (Inspect) มุมมองนี้จะแสดงผลร่วมกับ Live View ซึ่งเป็นมุมมองที่ใช้ในการตรวจสอบการจัดรูปแบบด้วยคำสั่ง CSS ในตำแหน่งที่เม้าส์เลื่อนผ่านโดยสามารถดูได้จากพาเนล CSS Style
        การออกจากโปรแกรม
เมื่อเปิดใช้งานโปรแกรมเสร็จแล้ว ต้องการที่จะปิดหรือออกจากโปรแกรม สามารถทำได้หลายๆ วิธี ดังนี้
1. คลิกที่ปุ่ม Close บน Control Box ดังรูป
            
2.คลิกเลือกที่ปุ่ม  บนไตเติ้ลบาร์ แล้วทำการเลือกคำสั่ง Close ดังรูป
             
3. คลิกเลือกที่เมนู File >> Exit ดังรูป หรือใช้แป้นคีย์ลัด Ctrl + Q
              

http://nanacomputer.com/เริ่มต้นกับการใช้งาน-adobe-dreamweaveer/ อ้างอิง

วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2557

Windows 10 บนสมาร์ทโฟน Microsoft Lumia และคอมพิวเตอร์จะรองรับเทคโนโลยี iBeacon ของ Apple


Windows 10 บนสมาร์ทโฟน Microsoft Lumia และคอมพิวเตอร์จะรองรับเทคโนโลยี iBeacon ของ Apple




Windows 10 บนสมาร์ทโฟน Microsoft Lumia และคอมพิวเตอร์จะรองรับเทคโนโลยี iBeacon ของ Apple
image_thumb
ก่อนอื่นมาทำความรู้จักคร่าวๆ กับเทคโนโลยี iBeacon กันดีกว่าครับ ซึ่งหลายคนคงตงิดๆ แล้วว่ามันต้องเกี่ยวกับ Apple นี่นอน? ถูกต้องแล้วครับ เทคโนโลยีนี้ถูกพัฒนาขึ้นโดย Apple และเริ่มใช้งานแล้วตั้งแต่ iOS 7 แต่ยังไม่เป็นที่แพร่หลายมากนัก

iBeacon เป็นเทคโนโลยีเกี่ยวกับการระบุตำแหน่งของเราผ่านการจับคู่อุปกรณ์รับสัญญาณ อย่างสมาร์ทโฟนเรานี่หละ และอุปกรณ์ปล่อยสัญญาณ ที่เรียกว่า Beacon ซึ่งในยุคเริ่มต้นนี้มักจะใช้กันในร้านค้าต่างๆ ครับ เมื่อเราถือสมาร์ทโฟนหรืออุปกรณ์ที่รองรับเทคโนโลยี iBeacon ผ่านบริเวณร้านค้าที่ติดตั้ง Beacon เอาไว้ สมาร์ทโฟนก็จะแจ้งเตือนข้อมูลเกี่ยวกับร้านค้านั้นๆ ให้เรา และเพื่อดึงดูดความสนใจ ส่วนมากจึงมักจะแจ้งโปรโมชั่นหรือสินค้าเข้าใหม่ให้เราทราบ และหากอุปกรณ์มีฟีเจอร์ที่รองรับ เราอาจกดสั่งซื้อก่อนจะถึงร้านเลยก็ได้ครับ พอเราเดินไปถึงร้านของที่เราสั่งซื้อก็จะพร้อมสำหรับเราเลย ซึ่งฟีเจอร์หลังนี้ Paypal ได้วางแผนเอาไว้แล้วครับ เราจะสามารถกดสั่งซื้อและจ่ายเงินก่อนจะไปถึงร้านเสียอีก
.

.

นอกจากนี้ ร้านค้าและห้างสรรพสินค้ายังนำเทคโนโลยีนี้ไปประยุกต์ใช้ในการจัดวางสินค้า โดยติดตั้ง Beacon เอาไว้ เพื่อปล่อยสัญญาณเพื่อแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับการจัดวางสินค้าหรือบอกรายละเอียดสินค้าของทางร้านได้ ดังการสาธิตการใช้งาน Beacon ของบริษัท Estimote ดังคลิปวีดีโอด้านล่างนี้ ซึ่งพวกเขาเปิดขาย Beacon แล้วในราคาประมาณ 3,000 บาท
.
.
เข้าเรื่องของเราดีกว่าครับ Justin Angel ได้ค้นพบ APIs ใหม่ของ Windows 10 Alpha build 9860 ที่ปล่อยออกมาเมื่อ 2-3 วันก่อน ที่ระบุว่ามันรองรับเทคโนโลยี iBeacon ตัวนี้
Windows. ApplicationModel. Background. BluetoothLEAdvertisementPublisherTrigger
และ
Windows. ApplicationModel.Background. BluetoothLEAdvertisementWatcherTrigger

มันก็จะทำให้ผู้ใช้ Windows 10 สามารถใช้งานเทคโนโลยีนี้ได้เช่นเดียวกับชาว iOS ครับ ซึ่งแม้ว่าเทคโนโลยีนี้จะยังไม่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน แต่เชื่อแน่ว่า ด้วย Apple Pay ที่เปิดตัวมาใหม่ จะทำให้มีการนำเทคโนโลยี iBeacon ไปใช้ประโยชน์มากยิ่งขึ้น ประกอบกับ Windows 10 ก็รองรับเทคโนโลยีนี้ด้วย ย่อมทำให้มีการใช้งานแพร่หลายมากขึ้นแน่ๆ ครับ

ที่มา: WMPoweruser

Microsoft เปิดตัว Windows 10 อย่างเป็นทางการ ระบบปฏิบัติการเดียวสำหรับทุกอุปกรณ์ของ Microsoft


Microsoft เปิดตัว Windows 10 อย่างเป็นทางการ ระบบปฏิบัติการเดียวสำหรับทุกอุปกรณ์ของ Microsoft




Microsoft เปิดตัว Windows 10 อย่างเป็นทางการ ระบบปฏิบัติการเดียวสำหรับทุกอุปกรณ์ของ Microsoft
เปิดตัวแล้วตามคาดครับสำหรับระบบปฏิบัติการเวอร์ชั่นต่อไปของ Microsoft ที่เป็นก้าวแรกของการรวมกันของระบบปฏิบัติการทั้งหมดของ Microsoft ภายใต้รหัสที่เรารู้จักกันในนามว่า Threshold
แต่สิ่งที่ผิดคาดคือชื่ออย่างเป็นทางการของระบบเวอร์ชั่นต่อไปนี้ ที่ Microsoft เรียกมันอย่างเป็นทางการว่า Windows 10 (ส่วนตัวผมให้ความรู้สึกเหมือน OSX พอสมควร)
Windows_10_Product_Family

Windows 10 จะเป็นระบบปฏิบัติการที่รวมออกแบบมาให้สามารถใช้งานได้กับทุกอุปกรณ์และทุกขนานหน้าจอรวมถึงทุกๆรูปแบบการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานร่วมกับหน้าจอทัชสกรีน หรือร่วมกับเมาส์และคีย์บอร์ดตามปกติ นอกจากนี้นักพัฒนายังสามารถสร้างแอพแบบ Universal app ให้สามารถใช้งานได้กับทุกๆอุปกรณ์ที่ใช้งานระบบ windows 10 นี้ได้ทันที
ในแง่ของการใช้งาน Microsoft ได้ออกแบบมาให้ใกล้เคียงกับการใช้งานระบบ Windows 7 มากที่สุด โดย Microsoft ให้เหตุผลว่า เพราะคนหลายล้านคนยังใช้งานระบบ Windows 7 อยู่ และ Microsoft ต้องการให้คนเหล่านี้เปลี่ยนมาใช้ระบบ Windows 10 ได้อย่างง่ายดายและไม่ขัดต่อความรู้สึกมากนัก แต่ยังคงหลายๆอย่างของ Windows 8 เอาไว้อยู่ (เช่นแอพแบบ modern หรือหน้าจอ modern UI บางส่วน)
windows10startmenu6_1020_verge_super_wide
windows10startmenu5_1020_verge_super_wide


หรือถ้าจะให้สรุปก็คือ Windows 10 จะเป็นส่วนผสมที่ลงตัวระหว่าง Windows 7 และ Windows 8 นั่นเอง

ความเปลี่ยนแปลง การกลับมาของ start menu
windows10startmenu3_1020_verge_super_wide

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดคือ การนำปุ่ม start menu แบบใน Windows 7 กลับมาและการนำหน้าจอ modern/metro บน Windows 8 ออกไป ทั้งนี้จะบอกว่า Microsoft เอาหน้าจอ Modern ของ Windows 8 ออกไปทั้งหมดคงไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะ Microsoft ได้จับเอา start menu และ modern UI มารวมกันเป็น start menu ของ Windows 10 นั่นเอง
Live tiles และการเรียกใช้งานแอพแบบ modern (แบบใน Windows 8) จะยังคงอยู่ (ดังภาพ) ซึ่งผู้ใช้สามารถปรับขนาดและปรับการใช้งานให้เหมาะสมกับตัวเองได้เช่นเดิม
vrg_1110

แต่วิธีการใช้งานแอพแบบ modern หรือแอพที่ติดตั้งผ่าน Windows store จะเปลี่ยนไป จากเดิมที่ระบบจะสลับหน้าจอไปมาระหว่าง desktop แบบปกติไปเป็นหน้าจอแบบ modern แต่ใน windows 10 การใช้งานนี้จะเปลี่ยนไป โดยเราสามารถย่อหน้าต่างการใช้งานแอพแบบ modern บนหน้าจอ desktop ได้เลย (ตามรูป) นั่นทำให้การใช้งานแอพแบบ modern และแอพแบบ desktop จะไม่มีความต่างกันมากในความรู้สึกเหมือนบน Windows 8
VRG_1095.0

ระบบ task view ที่เพิ่มเข้ามาใหม่ ซึ่งเปรียบเสมือนกับคุณสมบัติ Expose บน OSX ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ช่วยให้เราสามารถจัดการแอพที่ทำงานอยู่ในรูปแบบ multi-tasking ได้
Windows_10_Screenshot2

นอกจากนี้ยังมีระบบ Multiple desktop ที่เป็นเหมือนกับระบบ sand box ส่วนตัวที่เราสามารถสร้าง desktop สำหรับการทำงานเฉพาะที่เราต้องการได้หลายๆ desktop และสามารถสลับไปมาระหว่างแต่ละ desktop ได้ทันที และมีระบบ snap view ที่เราสามารถเลือกเปิดโปรแกรมหรือแอพไว้ข้างๆกันได้สูงสุดถึง 4 แอพ
รายละเอียดอื่นๆนั้น Microsoft ยังเปิดเผยออกมาไม่หมด เพียงแต่ระบุว่า Windows 10 ที่เปิดตัววันนี้นั้น เป็นเพียงระบบในเวอร์ชั่นแรกๆของการพัฒนาเท่านั้น (early build) ส่วนระบบปฏิบัติการ windows 10 รุ่นวางขายจริงคาดว่าจะวางจำหน่ายได้ช่วงหลังจากกลางปีหน้าเป็นต้นไป
นอกจากนี้ Microsoft ยังปล่อยวิดีโอแนะนำคุณสมบัติใหม่ๆใน Windows 10 ด้วยตามนี้ครับ

 
ส่วนโครงการสำหรับผู้ที่ต้องการสัมผัสระบบปฏิบัติการ Windows 10 ก่อนใครที่ Microsoft เรียกว่าโครงการ “Insider Program” นั้น Microsoft จะเปิดให้ผู้เข้าร่วมโครงการได้ดาวน์โหลดไฟล์ติดตั้งสำหรับระบบ Windows 10 Technical Preview ได้ในช่วงวันนี้ (พุธที่ 1 ตุลาคม) เป็นต้นไป
ผู้สนใจที่ยังไม่ได้เข้าร่วมโครงการ Insider Program ก็สามารถลงทะเบียนได้จากที่นี่ครับ

แล้วส่งผลอย่างไรกับผุ้ใช้ Windows phone?
Windows_10
Microsoft ยืนยันแล้วว่าสำหรับผู้ใช้ windows phone นั้น อัพเดทระบบครั้งใหญ่ครั้งต่อไป จะเป็นการอัพเดทระบบเป็น windows 10 เช่นกัน เพราะฉะนั้นผู้ที่ใช้งานระบบ Windows phone 8.1 อยู่ อัพเดทระบบครั้งต่อไป จะได้ก้าวกระโดดไปเป็น Windows 10 เช่นกัน (แต่แน่นอนว่าระบบ Windows 10 สำหรับระบบปฏิบัติการมือถือจะไม่มีหน้าจอการใช้งานแบบ desktop mode ครับ)

ส่วนรายละเอียดเพิ่มเติมเฉพาะสำหรับส่วนที่เกี่ยวข้องกับระบบปฏิบัติการโทรศัพท์มือถือโดยตรงยังไม่มีการระบุออกมา ซึ่งเราคงต้องติดตามความคืบหน้าต่อไป พร้อมๆกับที่ Microsoft จะเปิดเผยรายละเอียดของระบบ windows 10 มากขึ้น ในงาน BUILD 2015 ช่วงต้นปีหน้าต่อไป



ที่มา: The VergeWPCentral, Neowin